Admin Sep 28 2023
แม้ที่ผ่านมา แกเร็ท เอ็ดเวิร์ดส์ (Gareth Edwards) จะเป็นผู้กำกับสายหนังไซไฟที่กำกับหนังมาแค่ 4 เรื่องเท่านั้น แต่ 3 เรื่อง ไล่ตั้งแต่เรื่องแรก ‘Monsters’ (2010) งานไซไฟสยองขวัญทุนต่ำ 500,000 เหรียญ ก่อนกระโดดมาจับแฟรนไชส์ไซไฟฟอร์มยักษ์ทั้ง ‘Godzilla’ (2014) และผลงานที่ลือลั่นก็คงหนีไม่พ้น ‘Rogue One: A Star Wars Story’ (2016) ที่ได้รับคำชมอย่างท่วมท้น ปีนี้ เอ็ดเวิร์ดส์ขอกลับมาจับงานไซไฟออริจินัลของตัวเองอีกครั้งใน ‘The Creator’
ตัวหนังได้ คริส ไวซ์ (Chris Weitz) ผู้เขียนบทร่วม และ เกร็ก เฟรเซอร์ (Greig Fraser) ผู้กำกับภาพจาก ‘Rogue One’ มาทำงานร่วมกันอีกครั้ง ที่น่าสนใจคือ การใช้โลเกชันสถานที่ท่องเที่ยว และสถานที่สำคัญในเอเชีย โดยเฉพาะในประเทศไทยกว่า 40 สถานที่จาก 16 จังหวัด ใน 212 ฉาก นอกจากนี้ก็ยังมีคนไทยไปร่วมทำงานด้าน Production Service และเป็นนักแสดงประกอบด้วย น่าจะเป็นหนังฝรั่งที่มีชื่อคนไทยในเครดิตมากที่สุดเรื่องหนึ่งแล้วล่ะ
ในอีกด้านหนึ่งมันก็เป็นการสะท้อนให้เห็นว่า อเมริกากลายเป็นตัวแทนของมนุษย์เสรีนิยม (หรือตำรวจโลก) ที่ต้องการกำจัดศัตรูผู้รุกรานชาติ (ซึ่งจะพาลให้นึกไปถึง 9/11 ก็ไม่แปลก) หรือในแง่ของการเป็นตัวร้าย ในขณะที่นิวเอเชียนั้นเชื่อว่า AI ไม่ต่างจากคน มีความรู้สึก ความสัมพันธ์ สังคม ศาสนา ฯลฯ (มี AI บวชเป็นพระด้วย!) แต่อเมริกากลับมองเห็น AI เป็นเพียงเครื่องมือจักรกลที่วิวัฒน์ตัวเอง และพร้อมจะคุกคามมนุษยชาติได้ตลอดเวลา ซึ่งข้อขัดแย้งนี้มันก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ๆ แล้วในโลกปัจจุบัน (เผลอ ๆ AI ในชีวิตจริงนี่จะอันตรายกว่าในหนังอีกนะ (555)
แต่แม้ว่าจะวางท่าทีให้มีความเป็นไซไฟล้้าจัด ๆ แต่ตัวหนังเองก็ไม่ได้วางตัวให้เป็นหนังขบเค้นปรัชญาอะไรขนาดนั้นนะครับ เพราะตัวหนังเองถูกวางพล็อตเอาไว้แบบง่าย ๆ เดินเรื่องค่อนข้างเร็ว ในบรรยากาศและพล็อตแนวหลังโลกล่มสลาย (Post-Apocalypse) หรือแนว Dystopia ที่ชวนให้นึกถึงการอ้างอิงจากหนังและอนิเมะหลายเรื่อง ตั้งแต่ ‘Blade Runner’ (1982), ‘Akira’ (1988), ‘E.T. the Extra-Terrestrial’ (1982), ‘A.I. Artificial Intelligence’ (2001), ไตรภาค ‘The Matrix’, ‘Avatar’ (2009) ฯลฯ